อีโบลาไวรัส...ไวรัสอันตรายที่ควรรู้

อีโบลาไวรัส...ไวรัสอันตรายที่ควรรู้

พญ. มาริษา พงศ์พฤฒิพันธ์
สาขาวิชาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในขณะนี้อีโบลาไวรัส (ebola virus) กำลังเป็นที่จับตามองของแพทย์ทั่วโลก เนื่องจากมีรายงานการระบาดหนักในปีนี้ และได้คร่าชีวิตผู้ป่วยชาวแอฟริกันไปหลายร้อยราย เชื้ออีโบลาไวรัสเป็นไวรัสอันตรายที่ติดต่อในคนและในสัตว์และอาจทำให้ผู้ติดเชื้อนั้นเสียชีวิต โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 60-90% ในปัจจุบันก็ยังไม่มีทางรักษาและยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ก่อนหน้านี้มีรายงานการระบาดเฉพาะในทวีปแอฟริกาโดยเริ่มมีการระบุเชื้อได้จากการตรวจทางห้องปฏิบัติการตั้งแต่ปี ค.ศ.19671 ล่าสุด (ค.ศ.2014) ได้มีรายงานการระบาดหนักเกิดที่ไลบีเรีย, กีเนียและเซียราลีโอน ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่บริเวณตะวันตกของทวีปแอฟริกา2

การติดต่อ
ไวรัสนี้สามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย ได้แก่ เลือด น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย ของใช้ของผู้ป่วย หรือสัตว์ที่ป่วย รวมทั้งการนำสัตว์ที่ป่วยมาทำเป็นอาหาร โดยผ่านทางเยื่อบุในปากและทางเดินอาหาร (mucous membrane), เยื่อบุตา (conjunctiva) และรอยแยกหรือแผลบนผิวหนัง3 ระยะที่เกิดการติดต่อได้เริ่มตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการนำ (ประมาณ 7 วัน) ซึ่งในระยะนี้ยังจัดเป็นความเสี่ยงต่ำ การติดต่อจะติดได้ง่ายขึ้นเมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะท้ายของโรค

อาการและอาการแสดง1
1. อาการในระยะแรก
(Phase I) มีอาการไข้สูงทันทีทันใด (39-40°C) อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดศีรษะจากท้ายทอย และเจ็บคอ

2. อาการในระยะที่สอง

(Phase II) จะมีอาการของความผิดปกติของอวัยวะภายใน โดยจะเริ่มมีอาการในวันที่ 2-4 หลังแสดงอาการแรกเริ่ม และคงอยู่นาน 7- 10 วัน อาการและอาการแสดงได้แก่ อาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหาร เจ็บคอรุนแรง เจ็บหน้าอก กลืนลำบาก ไอแห้ง ๆ และ มีผื่นแดง ราบและนูน (maculopapular rash) กดจางได้ และไม่คัน ขึ้นตามผิวหนัง โดยเริ่มมีผื่นได้ตั้งแต่วันที่ 2-7 หลังแสดงอาการแรกเริ่ม (มักขึ้นในวันที่ 5) (รูปที่ 1)1 เมื่อผื่นหายจะเกิดเป็นขุยเล็กๆได้ (fine scaling) อาการทางตา ได้แก่ อาการตาแดง ตาสู้แสงไม่ได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีเลือดออกในอวัยวะภายใน ทำให้เลือดกำเดาไหล, ถ่ายเป็นเลือด, อาเจียนเป็นเลือด, ปัสสาวะเป็นเลือด, และปรากฏจุดเลือดออกตามร่างกาย ร่วมกับภาวะตับถูกทําลาย ไตวาย มีอาการทางระบบประสาทส่วนกลาง เช่น สับสน เซื่องซึม ก้าวร้าว (aggressiveness) และอาการชัก เป็นต้น

ebola.jpg    รูปที่ 1 ผื่นแดง ราบและนูน กดจางได้ (maculopapular rash) ที่พบจากการติดเชื้ออีโบลาไวรัส1

3. อาการในระยะที่สาม

(Phase III) ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจเร็ว อาจมีอาการสะอึก มีความดันโลหิตลดต่ำ เป็นผลให้อวัยวะหลายระบบเสื่อมหน้าที่ ปัสสาวะไม่ออก ซึ่งเป็นผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

สำหรับผู้ที่รอดชีวิตจะมีอาการต่าง ๆ เหล่านี้ได้มากกว่าหนึ่งเดือน ได้แก่ อาการอ่อนเพลียรุนแรง เบื่ออาหารน้ำหนักลด และปวดข้อ อาการอื่นที่อาจพบตามหลัง ได้แก่ ตับอักเสบเป็น ๆ หาย ๆ, ไขสันหลังอักเสบ, อาการทางระบบประสาท และตาอักเสบ (uveitis) เป็นต้น

การวินิจฉัย
การยืนยันการวินิจฉัยการติดเชื้ออีโบลา ทำได้โดยการตรวจหาเชื้อไวรัส (antigen detection, viral RNA polymerase chain reaction) และภูมิต่อเชื้อไวรัส (IgG)

การรักษา
ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาจำเพาะ การรักษาจึงทำได้เพียงการบรรเทาอาการ และรักษาตามอาการ ปัจจุบันมีความพยายามในการคิดค้นยาใหม่ แต่ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา

การป้องกัน
สามารถป้องกันการแพร่เชื้อได้โดยการใช้มาตรการควบคุมการติดเชื้อ ผู้ที่ต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาด ควรปฏิบัติตนให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลือด หรือสารคัดหลั่ง เช่น เลือด หรือสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยที่อาจปนเปื้อนกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย หรือศพของผู้ป่วยที่เสียชีวิต หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ป่าที่อาจนำมาเป็นอาหาร ถ้ารู้สึกไม่สบาย มีอาการไข้ ปวดหัว เจ็บคอ ท้องเสีย อาเจียน ปวดท้อง ผื่นแดง หรือตาแดง ให้พบแพทย์ทันที

เอกสารอ้างอิง
1. Nkoghe D, Leroy EM, Toung-Mve M, Gonzalez JP.Cutaneous manifestations of filovirus infections.Int J Dermatol. 2012 Sep;51(9):1037-43.
2. Gatherer D.The 2014 Ebola virus disease outbreak in West Africa.J Gen Virol. 2014 Aug;95(Pt 8):1619-1624.
3. Casillas AM, Nyamathi AM, Sosa A, Wilder CL, Sands H.A current review of Ebola virus: pathogenesis, clinical presentation, and diagnostic assessment.Biol Res Nurs. 2003
Apr;4(4):268-75.