ฝ้า กระ รักษาได้

ฝ้า กระ รักษาได้

ปัญหารอยคล้ำบนผิวหน้าเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะการเกิดกระและฝ้าบนใบหน้า ทำให้ผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าวเกิดความกังวลใจ และในปัจจุบันค่านิยมในสังคมที่ชอบลักษณะใบหน้าขาวใส  ทำให้ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ พยายามหาทางแก้ไขด้วยวิธีต่างๆมีทั้งที่ได้ผลและไม่ได้ผล และบางคนโชคร้าย ไม่ดีขึ้นและยังแย่ลงอีก ดังนั้นเราจึงควรศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อนทำการรักษากระ และฝ้าเกิดจากการที่มีเม็ดสีเมลานิน (melanin pigment) สะสมในผิวหนังมากผิดปกติ ทำให้เกิดผื่นสีน้ำตาลเป็นรอยคล้ำ อย่างไรก็ตามผื่นทั้งสองจะมีลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้

กระ (Freckle)
มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลขนาดมักเล็ก กว่า 0.5 ซม. พบกระจายอยู่บริเวณใบหน้าและผิวหนังที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ เชื่อว่าอาจมีสาเหตุจากพันธุกรรมร่วมด้วย เริ่มพบได้ตั้งแต่วัยเด็กจากนั้นจะค่อยๆมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นและสีเข้มขึ้น แบ่งได้4ประเภท ได้แก่

      1. กระตื้น ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ มีขนาดไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร ขอบเขตไม่ชัดเจน และมักพบกระจายทั่วใบหน้า ถ้าโดนแดดสีมักจะเข้มขึ้น แต่ถ้าไม่โดนแดดนานๆ สีมักจะจางลงได้เอง

      2. กระลึก ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเทาๆ เห็นเป็นเงาลึกๆ ส่วนใหญ่อยู่บริเวณโหนกแก้ม 2 ข้าง

      3. กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่มสีน้ำตาล หรืออาจเป็นสีดำ จะเป็นก้อนเล็กๆ ผิวเรียบหรือขรุขระก็ได้ บางครั้งดูคล้ายหูด มักพบบริเวณใบหน้า คอ หรือลำตัวก็ได้

      4. กระแดด มีลักษณะเป็นดวงสีน้ำตาล ผิวเรียบ ส่วนใหญ่พบในคนสูงอายุหรือคนที่ต้องทำงานอยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานาน

ฝ้า (Melasma)
พบบ่อยในผู้หญิงอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป (ผู้ชายก็เป็นได้นะคะ)  มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาล พบบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก เหนือริมฝีปากด้านบนและคาง ผื่นมักมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด เราสามารถแบ่งชนิดของฝ้าได้เป็นสามชนิด

        1.ฝ้าตื้น  เกิดในบริเวณหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม บริเวณขอบเขตของผื่นจะเห็นชัด ฝ้าชนิดนี้ค่อนข้างตอบสนองดีต่อการรักษาเนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ไม่ลึกในผิวหนังจึงง่ายต่อการกำจัด

        2.ฝ้าลึก  เกิดในชั้นหนังแท้ ผื่นฝ้าจะเป็นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้ม ขอบเขตจะเห็นไม่ชัดเจนเนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ในระดับที่ลึกมากขึ้น มีผลทำให้รักษาค่อนข้างยาก ตอบสนองไม่ดีต่อการรักษา ชนิดสุดท้ายเป็นชนิดผสม มีเม็ดสี

        3.ฝ้าผสม  เมลานินสะสมมากผิดปกติทั้งในชั้นหนังแท้และหนังกำพร้า

        การแยกชนิดของฝ้านั้นจะมีประโยชน์ต่อการรักษา ทำให้สามารถประเมินได้ว่าจะรักษาได้ผลดีมากน้อยเพียงใด และเลือกวิธีรักษาให้เหมาะกับชนิดของฝ้านั้นๆ

สาเหตุของการเกิดฝ้า
ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะมีปัจจัยหลายอย่างร่วมกันได้แก่

        1.แสงแดด สำหรับแสงแดดมีส่วนประกอบของรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด A (UVA) และชนิด B (UVB) รังสีทั้งสองชนิดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ฝ้าเป็นมากขึ้น

        2.ฮอร์โมน ในส่วนของฮอร์โมนเชื่อว่าฮอร์โมนเพศชนิดเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) มีผลทำให้เกิดฝ้า โดยสังเกตพบว่าฝ้าจะเป็นมากขึ้นในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่ตั้งครรภ์ และฝ้ามักจะจางลงภายหลังหยุดยาคุมกำเนิดหรือหลังคลอดบุตร

        3.ยา เช่น ยากันชัก

        4.การแพ้เครื่องสำอาง โดยเฉพาะการแพ้น้ำหอมหรือสีที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางนั้นๆ

การรักษากระและฝ้า
เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า และแสงแดด เป็นเรื่องใกล้ตัว ผ้า กระ จึงรักษาให้หายขาดได้ยาก จุดประสงค์ของการรักษา จึงเพื่อให้รอยโรคนั้นจางลง เน้นหลักสำคัญสองประการคือ
1)หลีกเลี่ยงหรือป้องกันปัจจัยที่จะมากระตุ้นให้กระหรือฝ้าเป็นมากขึ้น นั่นหมายถึงการพยายามเลี่ยงแสงแดด รวมถึงการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทาครีมกันแดดเป็นประจำ งดยากินคุมกำเนิด
2)การพยายามรักษาให้รอยคล้ำนั้นจางลง มีหลายวีธี ได้แก่
2.1 ยาทา ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือยาทาที่ใช้ในการรักษานั้นแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ได้แก่กลุ่มที่เร่งการขจัดเซลล์หนังกำพร้ามีผลทำให้เม็ดสีเมลานินถูกกำจัดออกไปได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ หรือ Alphahydroxy acid (AHA)และกรดวิตามินเอ เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่สองได้แก่ ยาหรือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีผลลดการสร้างเม็ดสีเมลานินเช่น ยาไฮโดรคิวโนน (Hydroquinone) กรดโคจิค (Kojic acid) หรือเจลวิตามินซี ผลการรักษาจะต้องใช้ ระยะเวลา 4 ถึง 8 สัปดาห์จึงเห็นการเปลี่ยนแปลง มักได้ผลในกรณีที่ฝ้าเกิดในชั้นหนังกำพร้า ส่วนกระอาจจะจางลงได้บ้าง ข้อควรระวังคือใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่น อาการหน้าลอกเป็นขุย แสบแดง ระคายเคือง ดังนั้นยาทาบางชนิดควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่นกรดวิตามินเอ หรือยาทาไฮโดรคิวโนน ส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางนั้นมักจะมีผลข้างเคียง น้อยกว่า แต่ในขณะเดียวกันผลลัพธ์ที่ได้ก็มักจะน้อยกว่าด้วยเช่นกัน
2.2 ยากิน ได้ผลในคนไข้บางราย และไม่ควรใช้ระยะยาว ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
2.3 กรอผิว ชนิด Microdermabrasion (หรืออาจได้ยินในชื่อของเครื่องกรอผิวด้วย เกร็ดอัญมณี) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีผู้นำมาใช้ในการรักษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งการขจัดเซลล์ ชั้นหนังกำพร้าให้ลอกหลุดเร็วขึ้น ได้ผลสำหรับฝ้าและกระที่อยู่ในชั้นตื้นๆ
2.4 สารลอกฝ้า เหมาะกับฝ้าตื้น ควรทำการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์
2.5 เครื่องมือผลักตัวยา เช่น ไออนโต โฟโน อิเล็กโตรพอเลชั่น เมโสเธอราพี มีผลช่วยผลักยาหรือวิตามินที่เราทาไว้ก่อนบนผิวหน้าให้ซึมผ่านผิวหนังเข้าไปได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ยาหรือวิตามินที่ทาไว้ก่อนนั้นออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น การรักษาด้วยวิธีนี้มีผลข้างเคียงน้อย อาจมีอาการระคายเคืองได้บ้างแต่มักไม่รุนแรง
2.6 เครื่องให้กำเนิดแสงความเข้มสูง (Intense Pulsed Light หรือ IPL)เป็นการรักษาที่ได้รับความสนใจอย่างมากกล่าวคือเครื่องมือชนิดนี้ให้กำเนิดพลังงานแสงไปยังบริเวณผิวหนังที่มีรอยคล้ำจากกระหรือฝ้า ผิวหนังในส่วนที่มีเม็ดสีเมลานินปริมาณมากกว่าปกติจะดูดซับพลังงานแสงแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน มีผลทำให้เม็ดสีเมลานินในบริเวณนั้นถูกทำลายและมีจำนวนลดลง มีผลทำให้กระหรือฝ้านั้นจางลงหรือหายไป เห็นผลการรักษาได้ค่อนข้างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยวิธีนี้ยังมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
2.7 เลเซอร์ มีหลายชนิด ที่ผู้เขียนใช้ คือ กลุ่มQ switch Nd-yag เลเซอร์ Q- Switch Nd-YAG สามารถปล่อยแสงได้ 2 ความยาวคลื่น คือ 532 nm และ 1064 nm มีลักษณะการยิงเลเซอร์ 2 เทคนิค คือ
2.7.1 Focused technique(แบบมีรอยตกสะเก็ด) ใช้ความยาวคลื่นทั้งสองชนิด เหมาะกับรอยโรคเฉพาะที่ เช่น รอยสัก กระ
2.7.2 Defocused technique(แบบไม่มีรอยตกสะเก็ด)ใช้ความยาวคลื่นที่1064 nm เท่านั้น เหมาะกับรอยโรคที่กว้าง เช่น ฝ้า หน้าหมองคล้ำ     รักแร้ดำ ริมฝีปากคล้ำ พบว่าผลการรักษาค่อนข้างดี แต่ทั้งนี้คนไข้ต้องพยายามลดปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดฝ้าด้วย